Systems Thinking for Resilience Design
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจ-การเมือง และ ปัจจัยทางธรรมชาติที่ผันผวน เราจะระบบความคิด นโยบายและพฤติกรรมอย่างไรให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้ คิดให้ครบแล้ววิ่งเข้าสู่เส้นชัยก่อนใคร
ปรับแนวความคิดให้ครบวงจร เพื่อการวางแผนและจัดการให้พร้อมรับมือกับปัญหา
นักสิ่งแวดล้อมชื่อดัง Donella H. Meadows ได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Limits of Growth ว่า “อนาคตเป็นสิ่งที่เราทำนายไม่ได้ แต่สามารถจิตนนาการถึงและทำให้เป็นจริงได้ด้วยความรัก…เราอาจจะควบคุมระบบหรือคาดเดาอนาคตไม่ได้ แต่เราก็สามารถเต้นรำไปกับจังหวะของการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่สะดุดล้ม”
** 2 ย่อหน้านี้ (นักสิ่งแวดล้อม… กับ การคิดเชิงระบบ…) อ่านแล้วมันไม่ต่อเนื่องกันอ่ะค่ะ **
การคิดเชิงระบบเป็นแนวทางการคิดที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นภาพรวมของทั้งปัญหาและโอกาสในการพัฒนาปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถบูรณาการความรู้จากศาสตร์ต่างๆ รวมถึงข้อมูลและบริบทจากทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน ส่งผลให้องค์กร นักวางแผน นักยุทธศาสตร์ หรือนักออกแบบสามารถเข้าใจถึงความซับซ้อน ความหลากหลายของสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังอาศัยอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนการปรับเปลี่ยนองค์กรได้อย่างเหมาะสมและกลมกลืนกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) หมายถึง การคิดในภาพรวมอย่างเป็นระบบ และมีส่วนประกอบที่สัมพันธ์เชื่อมโยงจากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ เป็นการคิดอย่างมีเหตุผล เน้นการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดเพื่อมุ่งสู่ความถูกต้อง ความแม่นยำ ความรวดเร็ว และการป้องกันการบานปลายของปัญหาหรือ การยับยั้งปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง
เดิมทีการคิดเชิงระบบถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาทางวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่มีโจทย์ในการออกแบบระบบที่ต้องรองรับความซับซ้อนของ Big Data ซึ่งต่อมาแนวคิดนี้ได้ถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาด้านนโยบายและการออกแบบโครงการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและผังเมือง เพราะนักวิชาการยอมรับว่า เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน หากยังใช้หลักการคิดวิเคราะห์แบบ Linear Thinking นี่จึงเป็นสาเหตุให้การคิดแบบ Systems Thinking เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหามากขึ้น
เมื่อต้องวางแผนหรือแก้ปัญหา มนุษย์มักติดกับความคิดเชิงแนวเส้นตรง (linear thinking) ตามความเคยชินที่ถูกปลูกฝังผ่านระบบการศึกษาและการรับรู้ แต่ในความจริงแล้ว ปัญหาหรือปรากฏการทางธรรมชาติหรือทางสังคมหลายอย่างมักมีมิติที่ซับซ้อน มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ถึงแม้จะมีแนวทางการแก้ปัญหาแบบ “บูรณาการ” ให้เห็นกันบ่อยๆ เช่น การทำ integrative design thinking หรือ การตั้งคณะทำงานแบบมีผู้ชำนาญการหลายฝ่าย ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง แต่กลับกลายเป็นการเพิ่มกระบวนการบนแนวคิดแบบเส้นตรงให้มากยิ่งขึ้น ทำให้การแก้ปัญหาไม่อาจตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงได้อย่างเท่าทัน
หลักการสำคัญ
การคิดเชิงระบบมีลักษณะสำคัญหลายประการ ดังนี้
การมองภาพรวม - ไม่มองเฉพาะส่วนประกอบใดส่วนหนึ่ง แต่มองภาพใหญ่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ความเชื่อมโยงสัมพันธ์ - เน้นความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่างส่วนต่างๆ
วงจรผลป้อนกลับ - เข้าใจถึงห่วงโซ่เหตุผลและวงจรผลป้อนกลับในระบบ
รูปแบบการเปลี่ยนแปลง - มองเห็นรูปแบบการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะมองเฉพาะจุด
การออกแบบ วางแผน หรือ วิเคราะห์บนพื้นฐาน Systems Thinking สามารถสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบได้
ความยืดหยุ่น (Resilience) หมายถึง ความสามารถของระบบในการต้านทาน ฟื้นตัว และปรับตัวเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหรือความกดดัน สำหรับระบบนิเวศและสังคมแล้ว ความยืดหยุ่นประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ความต้านทาน การฟื้นตัว และการปรับตัว
ในบริบทของประเทศไทย ความยืดหยุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงปัญหาที่ซับซ้อน เช่น การจัดการน้ำท่วมซ้ำซากและการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภาคการเกษตร หรือแม้แต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นจากการเมืองหรือสภาวะเศรษฐกิจโลก ดังนั้น แทนที่จะมองปัญหาต่างๆ เป็นเหตุการณ์แยกกัน เราต้องปรับมุมมองและความเข้าใจว่าแต่ละปัญหาเป็นส่วนหนึ่งภายใต้ระบบที่เชื่อมโยงกัน
จากงานวิจัยของ Stockholm Resilience Centre ความยืดหยุ่นหรือศักยภาพในการฟื้นฟูและความแข็งแกร่งในเผชิญกับปัญหานั้น มีหลักการ 7 ข้อ ดังนี้
1. การคงความหลากหลายและการสำรององค์ประกอบ ระบบที่มีความหลากหลายจะมีความยืดหยุ่นมากกว่าระบบที่พึ่งพิงองค์ประกอบเพียงไม่กี่อย่าง ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมเกษตรแบบผสมผสานแทนการเกษตรเชิงเดี่ยว
2. การจัดการการเชื่อมต่อ การสร้างเครือข่ายที่เหมาะสมระหว่างชุมชน หน่วยงาน และระบบธรรมชาติ ทำให้สามารถเกิดการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนทรัพยากรและความรู้ในยามจำเป็น
3. การจัดการตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงช้าและการป้อนกลับ การติดตามและวางแผนสำหรับปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงในระยะยาว เช่น คุณภาพดิน ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ หรือแม้กระทั่งคุณภาพน้ำ
4. การส่งเสริมการคิดเชิงซับซ้อนและปรับตัว การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวของชุมชนและหน่วยงานต่างๆ
5. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการกำกับดูแลแบบร่วมมือ การให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหา
6. การสร้างทุนสังคมและความไว้วางใจ การเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคม
7. การสร้างแหล่งเรียนรู้หลากหลาย การรวบรวมและแบ่งปันความรู้จากแหล่งต่างๆ รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นและความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ให้ทุกฝ่ายเข้าถึงได้
กรอบการทำงานสำหรับภาครัฐและเอกชน
สำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ต้องการนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ มีกรอบการทำงาน 6 ขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: การทำความเข้าใจระบบ ศึกษาและทำแผนที่ความเชื่อมโยงของปัญหาและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ขั้นตอนที่ 2: การกำหนดขอบเขตระบบ ระบุขอบเขตของปัญหาและกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการแก้ไข
ขั้นตอนที่ 3: การพัฒนาเครื่องมือระบบ สร้างแบบจำลองและเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม
ขั้นตอนที่ 4: การระบุจุดแทรกแซง หาจุดที่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจะให้ผลกระทบสูงสุด
ขั้นตอนที่ 5: การดำเนินการแบบบูรณาการ นำแนวทางแก้ไขไปปฏิบัติโดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงของระบบ
ขั้นตอนที่ 6: การติดตามและปรับปรุง สร้างกลไกการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ความท้าทายและแนวทางการพัฒนา
การนำการคิดเชิงระบบมาใช้ในงานนโยบายสาธารณะยังคงมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของผู้มีอำนาจตัดสินใจและการปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กรให้รองรับการทำงานแบบบูรณาการ
สำหรับประเทศไทย จำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะการคิดเชิงระบบทั้งในระดับการศึกษาและการฝึกอบรมในหน่วยงาน การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่เป็นการเรียนรู้เทคนิค แต่เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการมองปัญหาเป็นชิ้นส่วนแยกกันสู่การทำความเข้าใจความเชื่อมโยงแบบองค์รวม
การมองปัญหาแบบ Systems Thinking ยังช่วยให้กระตุ้นให้เกิดการมองปัจจัยนอกกรอบแนวคิดที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Anthropocentric) ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ได้ในภายหลังด้วย โดยจะพิจารณาว่า มนุษย์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนึ่งในระบบนิเวศน์ แต่ไม่ใช่เป็นผู้กำหนดผลผลิตหรือแนวทางการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ (Social-Ecological Symbiotic Relationship) ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ จะช่วยเปิดมิติของการศึกษาข้อมูล ปัจจัยและวิชาชีพที่จำเป็นในการออกแบบและลดความเสี่ยงของสภาวะ New Normal ที่เกิดจากสภาวะโลกรวนได้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่างการใช้ Systems Thinking เพื่อพิจารณาปัญหาและหาแนวทางป้องกันผลกระทบของความชื้นและภูมิอากาศต่อสภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (Built Environment) โดยมุ่งเน้นไปที่ความเชื่อมโยงกันของผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ
การประเมินความเสี่ยงแบบองค์รวม: แทนที่จะมองปัญหาเฉพาะด้าน เช่น การมองแค่ความชื้น เชื้อรา หรือการเสื่อมของวัสดุเป็นเรื่องแยกส่วนกัน
การคิดเชิงระบบทำให้เราต้องมองปัจจัยที่ครอบคลุมได้มากกว่าและเข้าถึงแหล่งที่มา เช่นสิ่งที่ทำให้อาคารเสื่อมอาจจะเป็นความชื้น (ที่เกิดจากฝน ความหนาแน่น การรั่วซึม) ปัจจัยภูมิอากาศ (อุณหภูมิ ความชื้น ลม) วัสดุก่อสร้าง พฤติกรรมผู้อยู่อาศัย และแนวทางการบำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายหรือค่าเสียหายทางเศรษฐกิจ การคำนึงถึงองคาพยพของปัญหาช่วยเปิดเผยความเชื่อมโยงที่โดยปกติอาจถูกมองข้ามและช่วยป้องกันการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในส่วนอื่น
วงจรป้อนกลับ & ผลลัพธ์ไม่คาดคิด: การคิดเชิงระบบทำให้เห็นถึงวัฏจักรที่มีผลย้อนกลับ เช่น การทำตัวบ้านโดยใช้ฉนวนกันความร้อนสูง อาจกลายเป็นกับดักให้ความชื้นสะสม หากไม่มีระบบระบายอากาศที่ดี ส่งผลให้เกิดเชื้อรา สารพิษ หรือการเสื่อมสภาพของโครงสร้างโดยไม่ตั้งใจ อีกตัวอย่างคือ ระบบระบายน้ำในเมืองที่ออกแบบเพื่อป้องกันน้ำท่วมเฉพาะพื้นที่หนึ่ง อาจทำให้เกิดปัญหาน้ำล้นในอีกพื้นที่
การออกแบบแก้ไขแบบบูรณาการ & ยืดหยุ่น: ด้วยความเข้าใจความเชื่อมโยงหลายมิติ การคิดเชิงระบบช่วยสนับสนุนการออกแบบแนวทางแก้ไขแบบบูรณาการ เช่น การสร้างหลังคาเขียว (green roof) การใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติซึมผ่าน (permeable surface) หรือ คุณสมบัติระบายอากาศที่ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ สามารถช่วยควบคุมความชื้น รับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และให้ประโยชน์อื่นๆ ควบคู่กัน เช่น ลดความร้อนในเมือง หรือเพิ่มคุณภาพอากาศ ทั้งนี้ยังช่วยเสริมสร้างความสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
การประสานงานระหว่างภาคส่วน: เพราะผลกระทบจากความชื้นและภูมิอากาศเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย (วิศวกร สถาปนิก นักวางผังเมือง ผู้อยู่อาศัย ผู้กำหนดนโยบาย บริษัทพัฒนาอสังหาฯลฯ) Systems Thinking จึงช่วยสร้างการสื่อสารร่วม และแนวทางแก้ไขที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ลดปัญหาการทำงานแบบแยกส่วน
บทสรุป: ก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน
การคิดเชิงระบบเพื่อความยืดหยุ่นไม่ใช่เทคนิคใหม่ แต่เป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความท้าทายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน การนำแนวทางนี้มาใช้จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วน
ความสำเร็จของการสร้างความยืดหยุ่นในระบบสิ่งแวดล้อมและสังคมไทยขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชน และประชาชน เมื่อเราเริ่มคิดอย่างเป็นระบบและสร้างความยืดหยุ่นร่วมกัน เราจะสามารถสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสามารถปรับตัวได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงความคิด และการสร้างกระบวนการคิดเชิงระบบคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้การวางแผนและการพัฒนาสังคมไทยเป็นไปอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21
อ้างอิง
Bentley, I., De, S., McGlynn, S., & Rampuria, P. (2024). EcoResponsive Environments: A Framework for Settlement Design. Taylor & Francis.
Biggs, R., Schlüter, M., & Schoon, M. (Eds.). (2015). Principles for Building Resilience: Sustaining Ecosystem Services in Social-Ecological Systems. Cambridge University Press. (Includes the seven principles for resilience referenced earlier.)
Meadows, D. H. (2008). Thinking in Systems: A Primer. Chelsea Green Publishing.
Rockström, J., Steffen, W., Noone, K., et al. (2009). A Safe Operating Space for Humanity. Nature, 461, 472–475. https://doi.org/10.1038/461472a (For resilience, systems thinking, and planetary boundaries.)